ปุ๋ยน้ำอินทรีย์มูลค้างคาว บรรจุ 5 ลิตร ช่วยให้ผลไม้มีผิวสวย มีรสชาติหวาน ได้น้ำหนัก พืชมีความแข็งแรงต้านทานโรคได้ดี
ปุ๋ยมูลค้างคาว ช่วยให้ผลไม้มีผิวสวย มีรสชาติหวาน ได้น้ำหนัก พืชมีความแข็งแรงต้านทานโรคได้ดี
นอกจากนี้ยังมี “Fullvicacid” ช่วยให้พืชดูดซึมธาตุอาหารได้ดีขึ้น ปกติเรามักจะพบในฟางข้าวที่เน่าเปื่อยผุพัง แต่กลับมีในขี้ค้างคาวมากถึง 10% กล่าวโดยสรุป ปุ๋ยมูลค้างคาวมีข้อดีหลายประการที่พอจะกล่าวเป็นข้อๆได้ดังนี้
1.ปุ๋ยมูลค้างคาว มีธาตุอาหารหลัก ธาตุอาหารรอง ธาตุอาหารเสริม ที่เพียงพอเข้มข้นและครบถ้วนมากกว่าปุ๋ยมูลสัตว์ชนิดอื่น
2.ช่วยปรับสภาพดินให้ร่วนซุย ปรับการระบายน้ำและอากาศในดินและปรับสภาพความเป็นกรด – ด่าง ให้เหมาะสมแก่การเจริญเติบโตของพืช นอกจากนี้ยังมีกรดฮิวมิคแร่เพอไลต์ ที่ช่วยในการจับปุ๋ยปลดปล่อยธาตุอาหารอย่างสมบูรณ์และช่วยให้การขยายรากได้เร็ว ลำต้นแข็งแรงไม่โค้นล้มง่าย
3.เสริมสร้างประสิทธิภาพการทำงานระบบภายในของพืช ระบบการทำงานของราก การลำเลียงอาหารการสังเคราะห์แสงและกระบวนการต่างๆ ทางเคมีของพืช
4.ช่วยโอบอุ้มและพยุงธาตุสารอาหารต่างๆ เอาไว้ เพื่อให้พืชสามารถดูดซึมไปใช้ได้อย่างช้าๆ ต่อเนื่องยาวนานก่อนถูกน้ำชะล้างละลายลึกลงดิน
5.การใช้มูลค้างคาวอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้เชื้อแบคทีเรียทำงานได้ดีขึ้น เป็นประโยชน์แก่พืชทางอ้อม ทำให้เกิดการสลายตัวของอินทรีย์สาร เปลี่ยนไปเป็นธาตุอาหารของพืชได้ง่ายขึ้น
6.ในมูลค้างคาวอุดมไปด้วยธาตุอาหารเสริม เช่น แมกนีเซียม กำมะถัน แมงกานีส สังกะสี ทองแดงโบรอน และโมลินเดนมี ซึ่งเพียงพอต่อความต้องการของพืชโดยทั่วไป
7.การใช้ปุ๋ยมูลค้างอย่างสม่ำเสมอติดต่อกัน จะทำให้ผลตกค้างของปุ๋ยเคมีที่เหลือสะสมอยู่ในดิน ค่อย ๆสลายตัวเป็นอาหาร พืชภายหลังต่อไปทีละน้อยอีกด้วย
8.มูลค้างคาวให้ธาตุอาหารฟอสฟอรัสมากเป็นพิเศษ ทั้งนี้เป็นเพราะเกิดจากค้างคาวสายพันธุ์กินแมลง
9.เสริมสร้างผนังเซลล์ของพืช ทำให้พืชแข็งแรง ขั้วเหนียวบำรุงต้นให้เจริญเติบโต(ออกดอกออกผลมาก) และช่วยป้องกันโรครากเน่า โคนเน่า ที่เกิดจากเชื้อราและแบคทีเรีย
10.ช่วยปรับปรุงและส่งเสริมผลผลิตทั้งปริมาณ ขนาด คุณภาพ น้ำหนัก รสชาติและสีสันได้เป็นอย่างดี
อัตราการใช้
น้ำหมักมูลค้างคาว 10 ซีซี ผสมน้ำ 20 ลิตร รดทางดินหรือฉีดพ่นอาทิตย์ละ 1 ครั้ง
ไนโตรเจน มีหน้าที่เป็นส่วนประกอบของโปรตีน ช่วยให้พืชมีสีเขียว เร่งการเจริญเติบโตทางใบ หากพืชขาดธาตุนี้จะแสดงอาการใบเหลือง ใบมีขนาดเล็กลง ลำต้นแคระแกร็นและให้ผลผลิตต่ำ
ฟอสฟอรัส มีหน้าที่ช่วยเร่งการเจริญเติบโตและการแพร่กระจายของราก ควบคุมการออกดอก ออกผล และการสร้างเมล็ด ถ้าพืชขาดธาตุนี้ระบบรากจะไม่เจริญเติบโต ใบแก่จะเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีม่วงแล้วกลายเป็นสีน้ำตาลและหลุดร่วง ลำต้นแกร็นไม่ผลิดอกออกผล
โพแทสเซียม เป็นธาตุที่ช่วยในการสังเคราะห์น้ำตาล แป้ง และโปรตีน ส่งเสริมการเคลื่อนย้ายน้ำตาลจากใบไปสู่ผล ช่วยให้ผลเติบโตเร็วและมีคุณภาพดี ช่วยให้พืชแข็งแรง ต้านทานต่อโรคและแมลงบางชนิด ถ้าขาดธาตุนี้พืชจะไม่แข็งแรง ลำต้นอ่อนแอ ผลผลิตไม่เติบโต มีคุณภาพต่ำ สีไม่สวย รสชาติไม่ดี
แคลเซียม เป็นองค์ประกอบที่ช่วยในการแบ่งเซลล์ การผสมเกสร การงอกของเมล็ด พืชขาดธาตุนี้ใบที่เจริญใหม่จะหงิกงอ ตายอดไม่เจริญ อาจมีจุดดำที่เส้นใบ รากสั้น ผลแตก และมีคุณภาพไม่ดี
แมกนีเซียม เป็นองค์ประกอบสำคัญของคลอโรฟิลล์ ช่วยสังเคราะห์กรดอะมิโน วิตามิน ไขมัน และน้ำตาล ทำให้สภาพกรดด่างในเซลล์พอเหมาะและช่วยในการงอกของเมล็ด ถ้าขาดธาตุนี้ใบแก่จะเหลือง ยกเว้นเส้นใบ และใบจะร่วงหล่นเร็ว
กำมะถัน เป็นองค์ประกอบสำคัญของกรดอะมิโน โปรตีน และวิตามิน ถ้าขาดธาตุนี้ทั้งใบบนและใบล่างจะมีสีเหลืองซีด และต้นอ่อนแอ