ต้นพลับ พลับไทย พลับ ไม้ผล รับประทานได้ (รับประกัน ส่งใหม่ฟรี หากสินค้าเเสียหาย!!)
ข้อมูลทั่วไปของพลับ
พลับ (Persimmon: Diospyros kski L.) มีถิ่นกำเนิดในประเทศจีน เป็นไม้ผลกึ่งร้อน(sub-tropical fruit) มีการผลัดใบอยู่ในสกุล Diospyros วงศ์ Ebenaceace ในภาษาไทยอาจจะเรียก พลับ พลับจีน หรือพลับญี่ปุ่น สำหรับชาวญี่ปุ่นเรียกผลพลับว่า “กากิ” (kaki) กากิ จึงกลายเป็นชื่อสามัญของพลับและเรียกกันโดยทั่วไปในขณะนี้
ประเภทของพลับ
ในทางพืชสวนแบ่งพลับออกเป็น 2 พวกใหญ่ๆ คือ พลับฝาด(Astringent) และพลับหวาน (Non-astringent) ซึ่งพลับทั้ง 2 พวกดังกล่าวยังแบ่งย่อยออกได้อีกเป็น 2 ชนิดคือ ชนิดสีเนื้อคงที่ (Pollination constant) และชนิดสีเนื้อเปลี่ยนแปลง (Pollination variant) เมื่อได้รับการผสมเกสร ซึ่งพลับชนิดนี้ถ้าไม่มีการผสมเกสร สีของเนื้อจะเป็นสีเหลืองอ่อนและมีรสฝาด แต่ถ้ามีการผสมเกสรหรือมีเมล็ดเกิดขึ้นสีของเนื้อจะเปลี่ยนจากสีเหลืองอ่อนไปเป็นสีน้ำตาลแดงและไม่มีรสฝาด
พลับไม่ฝาดชนิดที่สีของเนื้อเปลี่ยนแปลงไปตามการผสมเกสร(pollination variant non astringent) หรือการมีเมล็ดนั้น ปริมาณสารละลายแทนนินจะไม่ปรากฏถ้าหากว่ามีเมล็ดอย่างเพียงพอ โดยปกติแล้วจะมีเมล็ด 4-5 เมล็ด แต่ถ้าการเกิดของเมล็ดมีน้อย 1 หรือ 2 เมล็ด บริเวณบางส่วนของผลที่ไม่มีเมล็ดเนื้อจะยังคงฝาดอยู่ ส่วนพลับพวกที่ไม่ฝาดและสีเนื้อคงที่ สามารถจะรับประทานได้เลยในขณะที่ผลยังแข็งอยู่
สภาพพื้นที่ที่เหมาะสม
ความสูงของพื้นที่ พลับสามารถขึ้นได้ดีตั้งแต่ระดับพื้นราบของจังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย จนกระทั่งถึงพื้นที่สูง 1300-1400 เมตรจากระดับน้ำทะเลขึ้นอยู่กับพันธุ์ แต่พันธุ์ที่มีคุณภาพดีและเป็นที่ต้องการของตลาดมักจะต้องการความหนาวเย็นค่อนข้างสูง จึงควรปลูกในพื้นที่สูงตั้งแต่1000 เมตรขึ้นไป
ดิน ควรมีหน้าดินลึก มีความอุดมสมบูรณ์สูงและมีการระบายน้ำดี pH ประมาณ 6.0-6.5
อุณหภูมิ อุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโตของพลับควรมีค่าเฉลี่ย 14-25 องศาเซลเซียส
พันธุ์ปลูก
พันธุ์ฟูยู (Fuyu) เป็นพลับหวานชนิดสีของเนื้อคงที่ เป็นพันธุ์ที่นิยมปลูกกันทั่วโลกในปัจจุบันนี้ ลักษณะผลกลมแต่ค่อนข้างแบนเล็กน้อย ขนาดปานกลางจนถึงใหญ่ สีเหลืองสดจนถึงอมส้ม ปลูกได้ดีในบริเวณที่มีความสูงตั้งแต่ 1000 เมตรขึ้นไป ต้องการอากาศหนาวเย็นกว่าพันธุ์อื่น
พันธุ์ซือโจ หรือ ซิชู หรือ พี 2 (Xichu or P2) เป็นพลับฝาดชนิดสีเนื้อคงที่ ลักษณะผลค่อนข้างแบน ขนาดเล็กกว่าพันธุ์ฟูยู ผลอาจมีรูปร่างกลมจนถึงเป็นเหลี่ยม เนื้อสีเหลืองอ่อนๆ ขึ้นได้ดีตั้งแต่ระดับความสูง 790 เมตร ใบแก่ก่อนที่จะร่วงมีสีส้มอมแดง เป็นพันธุ์ที่มีความแข็งแรง เจริญเติบโตเร็วให้ผลผลิตสูง เป็นพันธุ์ที่เหมาะกับการปลูกในประเทศไทยในปัจจุบัน
พันธุ์ไฮยาคัม (Hyakume) เป็นชนิดสีเนื้อเปลี่ยนแปลง การเจริญเติบโตค่อนข้างช้า ผลค่อนข้างยาวคล้ายรูปหัวใจ ขนาดค่อนข้างใหญ่ บริเวณส่วนล่างของผลจะมีรอยเส้นเป็นขีดสีดำ สีผิวของผลไม่ค่อยสวย แต่คุณภาพในการับประทานสดดีมาก
พันธุ์นูซิน (Niu Scin) เป็นพลับฝาดชนิดสีเนื้อคงที่ ผลคล้ายรูปหัวใจ แต่อาจจะยาวกว่าพันธุ์ไฮยาคัมเล็กน้อย ขนาดค่อนข้างใหญ่ ผลเมื่อแก่มีสีเหลืองส้ม
การใช้ต้นตอ และการขยายพันธุ์
ในประเทศไทย ต้นตอที่ใช้มี 2 ชนิด คือพันธุ์เต้าซื่อ (D.lotus) จากไต้หวันและต้นตอพื้นเมืองซึ่งอยู่ในสกุลพลับคือ กล้วยฤาษี (D.glandulosa) มีขึ้นอยู่ทั่วไปในบริเวณที่สูงทางภาคเหนือ
การติดตาหรือต่อกิ่ง
จะทำในช่วงฤดูหนาวประมาณเดือนมกราคมถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นช่วงที่พลับกำลังพักตัว การติดตาอาจจะใช้วิธีแบบชิป(Chip) ส่วนการต่อกิ่งใช้วิธีเสียบยอด
การเปลี่ยนยอด (Top working)
ทำได้ในเดือนมกราคมถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์เช่นเดียวกัน ขนาดของกิ่งที่ใช้ในการเปลี่ยนยอดไม่ควรจะใหญ่มากนักโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าต้องการเปลี่ยนยอดพันธุ์ฟูยูบนต้นตอเต้าซื่อขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของกิ่งที่ใช้เปลี่ยนไม่ควรเกิน 5 เซนติเมตร
การเจริญเติบโต การออกดอก การผสมเกสร
พลับจะเริ่มแตกตาและผลิใบในช่วงเดือนมีนาคมจากตารวม(mixed bud) ซึ่งมีลักษณะใหญ่และอวบอ้วน มักจะอยู่บริเวณส่วนปลายๆ ของกิ่งที่เกิดขึ้นในฤดูกาลที่ผ่านมา หลังจากตาแตกและมีใบแล้ว จึงจะเห็นดอกเกิดขึ้นภายหลังภายในกิ่งที่แตกออกมาใหม่นั้น จากนั้นจะติดผลและพัฒนาต่อไปจนเก็บเกี่ยวได้ซึ่งใช้ระยะเวลาตั้งแต่ติดผลจนเก็บเกี่ยวประมาณ 150-180 วัน
ดอก
พลับมีดอก 3 ชนิด คือ ดอกตัวผู้ ดอกตัวเมีย และดอกกระเทย ซึ่งดอกแต่ละชนิดอาจจะแยกกันอยู่คนละต้นหรืออยู่ภายในต้นเดียวกันก็ได้ขึ้นอยู่กับพันธุ์
การผสมเกสร
จะทำให้การติดผลดีขึ้น ผลมีขนาดใหญ่สม่ำเสมอ และคุณภาพสูงขึ้นโดยเฉพาะพลับหวาน สำหรับต้นที่ไม่ได้รับการผสมเกสร พบว่า มีการร่วงของดอกและผลในอัตราที่สูงมาก ซึ่งการร่วงของผลจะเกิดมากในช่วงตั้งแต่กลีบดอกร่วงจนถึงอายุ 2-3 สัปดาห์ ปัจจัยอื่นๆ ที่มีผลต่อการร่วงของพลับ คือ การที่ทรงพุ่มได้รับแสงไม่เพียงพอ การเจริญเติบโตทางกิ่งก้านมีมากเกินไปทำให้มีการสลัดผลทิ้ง รวมทั้งการให้ปุ๋ยที่ไม่ถูกต้อง
การเจริญเติบโตของผล
ปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งคือ กลีบเลี้ยง (calyx) เนื่องจากพลับมีกลีบเลี้ยงขนาดใหญ่มากเมื่อเปรียบเทียบกับพืชชนิดอื่นๆ ในขณะที่พลับออกดอกกลีบเลี้ยงจะมีประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักดอก มีปากใบ(stomata) ปริมาณมากบริเวณกลีบเลี้ยง จึงถือว่ากลีบเลี้ยงคืออวัยวะสำหรับการแลกเปลี่ยนก๊าซของผล การที่กลีบเลี้ยงถูกทำลายหรือฉีกขาดจะทำให้ขนาดของผลลดลง
การแตกบริเวณขั้วหรือปลายของผลพลับ
เป็นลักษณะประจำพันธุ์ของพลับบางพันธุ์ การแตกบริเวณขั้วผลเกิดจากการขยายตัวอย่างไม่สมดุลกันในบริเวณรอยต่อหรือส่วนฐานของกลีบเลี้ยงใกล้ๆ กับขั้วผลทำให้เกิดรอยปริขึ้น ซึ่งพบมากในพันธุ์พี 1 และพันธุ์ฟูยู
การปลูก การดูแลรักษา และการเก็บเกี่ยว
ระยะปลูก
ปลูกระยะ 4x4 เมตร ในช่วงตอนต้นของฤดูฝน โดยปลูกพันธุ์ที่มีดอกตัวผู้มากสลับกันไปกับต้นที่มีดอกตัวเมียในอัตราส่วน 1:8